วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วิธีการเลือกซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)

http://eastern-venice.com/showproduct.php?procode=IT051
ภาพจาก http://eastern-venice.com
เลือกซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ต้องดูอะไรบ้าง ?


(1) ความจุของแบตเตอร์รี่มือถือ/แทบเลตของคุณ x 2.5 เป็นอย่างน้อย – 30% ของความจุแบตเตอร์รี่สำรอง    
      (Power Bank) ขอยกตัวอย่าง Samsung Galaxy Note 2

      1.1 ความจุของแบตเตอร์รี่ คือ 3,100 มิลลิแอมป์ ให้เอา x2.5 เข้าไป ได้ค่าเท่ากับ 7,750 มิลลิแอมป์
      1.2 ความจุเป้าหมายของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ของผม คือ 7,750 x30% ได้ค่าเท่ากับ 2,325 มิลลิแอมป์
      1.3 ความจุที่ผมจะได้จริงเพื่อเอาไปใช้งานของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) คือ 7,750 – 2,325 ได้เท่ากับ 5,425 มิลลิแอมป์

ดังนั้น ผมก็จะมองหาความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ที่จุได้อย่างน้อย 7,750 มิลลิแอมป์ชึ้นไปเท่านั้นครับ เพื่อจะชาร์ต Note 2 ได้อย่างน้อย 2 รอบ (รอบละ 50%)

(2) อัตราการคายประจุของตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)
      อันนี้สำคัญมาก เพราะแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เมื่อได้รับการชาร์ตไฟบ้านเข้าจนเต็มตัวมันเองแล้ว เราก็จะถอดปลั๊ก แล้วก็พกมันเพื่อเดินทางไปกับเราระหว่างวัน ทันทีทีหยุดชาร์ตไฟ ตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มันจะเริ่มคายพลังงานประจุไฟฟ้าที่มันเก็บไว้ ทิ้งออกไปเรื่อย ๆ (สลายตัวมันเอง) ซึ่งเป็นลักษณะของมันอยู่แล้วครับ ถ้าเลือกแบรนด์ต่ำ ๆ คุณภาพไม่ดีอัตราการคายประจุจะเร็วมาก มากจนมันคายหมดไปเลย
ยกตัวอย่าง
     08.00 น.
     ชาร์ต Note 2 และ แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เต็ม 100%

    13.00 น.
    Note 2 แบตเตอร์รี่อ่อนเหลือ 30% ก็จะหยิบแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ออกมาเพื่อชาร์ตไฟเข้าให้กับมือถือ แป๊กเลย ไม่มีกระแสไฟฟ้าเหลือในแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เลยเพราะมันคายประจุหมด
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แบรนด์ล่าง ๆ ราคา 990 บาทที่มีขายกันเกร่อ ซึ่งเหตุการณ์ “คายประจุจนหมด” นี้จะไม่เกิดขึ้นกับคุณหากคุณซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แบรนด์ดัง ๆ เช่น Sanyo / Power Rocks /  Yooboa

(3) อัตราการรับไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) และอัตราการจ่ายไฟออก
      จากแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ให้กับมือถือ / แทบเล็ต
      อันนี้สำคัญมาก เพราะระยะเวลาการชาร์ตหากชาร์ตนานก็ทำให้เราหงุดหงิดมิใช่น้อยให้เพราะฉะนั้นพิจารณาที่ฉลากข้างกล่องได้เลย ตรงที่พิมพ์แบบนี้

  • Input : DC 5V – 2.1 A (max)
หมายความว่า ตอนชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าไปเก็บสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์ (ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เร็วมากและปลอดภัยสำหรับแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แล้วหละครับ) ดังนั้น ถ้าพิมพ์ว่า 1.0 A (max) ก็แสดงว่า ชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) นานมากครับ ยิ่งความจุ 10,000 มิลลิแอมป์ อาจนานถึง 15 ชั่วโมงเลยทีเดียว
  • Output : DC 5V – 2.1 A
หมายความว่า ตอนชาร์ตมือถือ / แทบเล็ตเข้ากับตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แล้ว กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์ (ยิ่งมาก ยิ่งดี  2.1 A ถือว่าเร็วมาก ๆ ซึ่งปกติในท้องตลาดจะมี 1.0 A กับ 2.1 A ครับ)

(4) ราคา
      แบรนด์ที่มีชื่อเสียงจะมีราคาสูง คือ 2,000 บาทขึ้น เพราะคุณจะได้รับการรับประกัน 6 เดือน ถึง 1 ปี และคุณภาพเรื่องการคายประจุที่ต่ำ (ทำให้เก็บไฟในตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ได้นานขึ้น)
      อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาสูงขึ้น คือ ปริมาณการปล่อยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เข้าอุปกรณ์มือถือ  / แทบเลต ซึ่งราคา 2,000 – 2,500 บาท จะปล่อยเข้าที่ 1.0 แอมป์  แต่ถ้าราคา 3,000 บาทขึ้นจะอยู่ที่ 2.1 แอมป์ (สูงสุดสำหรับอุปกรณ์มือถือ / แทบเลต)
(5) อุปกรณ์เสริม     ปกติแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ที่มีขายจะไม่มี “หัวปลั๊กไฟ” ที่ใช้ต่อไฟบ้านเพื่อชาร์ตไฟเข้าแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มาพร้อมในกล่องด้วยนะ เพราะ “หัวปล๊กไฟ” นี้สามารถใช้ร่วมกับของมือถือ / แทบเล็ตในยุคปัจจุบันที่มีพอร์ต USB ที่ “หัวปลั๊กไฟ” อยู่แล้ว (หัวปลั๊กไฟจะแปลงกระแสไฟบ้าน 220 โวลต์ เป็นกี่แอมป์ให้ดูที่หัวปลั๊กไฟได้เลย ตรงบรรทัดที่เขียนว่า Output ) ดังนั้น ให้ดูว่ามีหัวปลั๊กแปลงที่เข้ากับอุปกรณ์ของเราครบถ้วนหรือไม่                                                                                                                                                                                            
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นายแทม ดอท คอม  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น